บทที่ 1 หลินหมิง

บทที่ 1 หลินหมิง
ในอาณาจักรลิขิตฟ้า มีสำนักเจ็ดแก่นแท้ซึ่งถูกก่อตั้งโดยปรมาจารย์จากหุบเขาเจ็ดแก่นแท้ สำนักต่อสู้แห่งนี้สือทอดวิชาต่อสู้โบราณมายาวนานกว่า600ปี
สำนักเจ็ดแก่นแท้เป็นสำนักต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่สำนักแห่งนี้จะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเหล่าหนุ่มสาว ทว่าผู้ที่จะผ่านการทดสอบของสำนักและเข้ามาฝึกฝนในสำนักแห่งนี้ได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงส่งเช่นกัน กล่าวได้ว่ามีเด็กเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้นที่จะสามารถผ่านการทดสอบไปได้
แสงแดดสาดส่องไปทั่วภูเขาโจว เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในป่าบนภูเขาลูกนั้น เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าและมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ เขาปล่อยหมัดซํ้าแล้วซํ้าอีกใส่ต้นไม้อย่างรุนแรง
“ปึง” “ปึง!” เสียงสะท้อนดังก้องกังวานไปทั่ว เปลือกไม้ยุบลงไปเล็กน้อยและเผยให้เห็นรอยเลือดที่ติดอยู่บนผิวของเปลือกไม้
ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าหลินหมิง เขาเป็นนักสู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสาม
ในอาณาจักรลิขิตฟ้า ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งไม่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ ส่วนอีก40%จะมีพรสวรรค์ระดับหนึ่ง และแม้พวกเขาจะฝึกฝนการต่อสู้ก็ไม่อาจจะพัฒนาไปได้ไกลซักเท่าไร อีก9%จะมีพรสวรรค์ระดับสอง หากพวกเขามุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝนก็สามารถที่จะสำเร็จการต่อสู้ได้ในระดับพื้นฐาน
หลินหมิงซึ่งมีพรสวรรค์ระดับสามจึงถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคนทั่วๆไป อย่างไรก็ตามเพียงแค่พรสวรรค์ระดับสามของเขาก็ไม่มากพอที่จะทำให้เขาผ่านบททดสอบของสำนักเจ็ดแก่นแท้ได้ !
หลินหมิงตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เพื่อนของเขาเองก็เช่นกัน เธอเป็นหญิงสาวงามนามว่าหลานยุนเยี่ย เธอเองก็มีพรสวรรค์ระดับสามเหมือนกับเขา พวกเขาทั้งสองคนทำได้เพียงสอบเข้าสำนักลิขิตฟ้าเท่านั้น
สำนักลิขิตฟ้าพึ่งจะก่อตั้งมาได้เพียง80ปี ทั้งวรยุทธ์และตำราต่างๆก็เป็นรองสำนักเจ็ดแก่นแท้อยู่มาก
การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ระดับการฝึกฝนมีทั้งหมด6ขั้น หากสามารถฝึกฝนจนสำเร็จขั้นที่6ได้ นักสู้คนนั้นก็จะได้รับเกียรติยศและนำพาชื่อเสียงมาให้แก่วงศ์ตระกูล
แม้จิตใจของหลินหมิงจะมุ่งมั่นในการฝึกฝน แต่การที่เขาจะสอบเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ได้สำเร็จก็แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้ เขาจึงได้สัญญากับหลานยุยเยียว่าจะเข้าสำนักลิขิตฟ้าด้วยกันแทน
หลินหมิงและหลานยุนเยี่ย รู้จักและสนิทสนมกันมานานหลายปี แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน แต่ทางพ่อแม่ของหลินหมิงก็สนใจในตัวหลานยุนเยีย พวกเขามักจะเชิญหลานยุนเยียไปทานข้าวที่บ้านอยู่บ่อยๆ
ความรู้สึกระหว่างพวกเขาเหลือเพียงแผ่นกระดาษบางๆที่กั้นเอาไว้ เมื่อพวกเขาโตขึ้นกระดาษแผ่นนั้นก็จะสลายไป ความรักความผูกพันธ์ของพวกเขาก็จะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
หลินหมิงตั้งใจที่จะฝึกฝนให้ถึงขั้นที่6 ในสำนักเจ็ดแก่นแท้ แต่ในวันที่สำนักลิขิตฟ้ารับศิษย์เข้าสำนัก กลับมีเพียงแค่เขาที่ไปสมัครอยู่เพียงลำพัง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เธอก็มาบอกเขาว่าเธอจะเข้าฝึกฝนในสำนักเจ็ดแก่นแท้ ที่เธอสามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักอันดับหนึ่งนี้ได้เป็นเพราะการช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มอัจฉริยะคนหนึ่ง เขามีนามว่าจู้ยัน
เขาเข้าใจจุดประสงค์เบื้องหลังของจู้ยันเป็นอย่างดี ที่จู้ยันทำเช่นนี้ก็เพราะเขาต้องการที่จะแต้งงานกับหลานยุนเยี่ย
สำหรับตระกูลที่สูงส่งอย่างตระกูลจู้ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีภรรยาที่ดีเพื่อที่จะให้กำเนิดบุตรที่มีพรสวรรค์สูง และหญิงที่มีพรสวรรค์สูงก็มีโอกาสทำให้บุตรมีพรสวรรค์ที่สูงตาม แม้ว่า
ตระกูลหลานจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่หลานยุนเยี่ยก็เป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในเมืองแห่งนี้ เป็นธรรมดาที่จู้ยันจะหลงรักเธอ
สำหรับหลานยุนเยี่ยแล้ว หากเธอสามารถเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้ได้ จะเป็นการนำพาชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล และยังทำให้เธอมีอนาคตดีกว่าการฝึกฝนในสำนักลิขิตฟ้าอย่างเทียบกันไม่ติด
เมื่อต้องเผชิญกับโอกาสที่จะได้มาซึ่งชื่อเสียงและความมั่งคั่งรํ่ารวยเช่นนี้ เหล่าหญิงสาวก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ ตระกูลจู้เป็นตระกูลที่รํ่ารวยที่สุดในเมืองแห่งนี้ และจู้ยันเองก็หล่อไม่เบาเลย เขาน่าสนใจกว่าหลินหมิงเป็นไหนๆ
เรื่องนี้ทำร้ายจิตใจของหลินหมิงอย่างมาก เขาขังตัวเองอยู่ในห้องตลอด3วัน3คือ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะเลิกคิดถึงหลานยุนเยียและตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน การฝึกฝนของเขาหนักกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เขาได้สละสิทธ์ที่จะเข้าฝึกฝนในสำนักลิขิตฟ้า และมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสอบผ่านบททดสอบของสำนักเจ็ดแก่นแท้ให้ได้
“ปึง” “ปึง!” เสียงหมัดของเขากระแทกกับต้นไม้อย่างต่อเนื่อง ต้นไม่ชนิดนี้มีชื่อว่าต้นไม้เหล็ก ผิดของมันแข็งเหมือนเหล็ดกล้า นักสู้จำนวนมากเลือกใช้มันในการฝึกฝน
ผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็หมดแรงลง เขาหยิบสมุนไพรขึ้นมาจากกระเป๋าสพาย สมุนไพรเป็นที่สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการฝึกฝนการต่อสู้
สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่า หญ้ากระทู้เหล็ก มันเป็นสมุนไพรราคาถูกที่ใช้รักษาแผลได้ แต่การใช้มันก็ทรมานไม่น้อย หากเป็นสมุนไพรที่มีราคาสูงกว่านี้ ก็จะไม่ทำให้ผู้ใช้ต้องรู้สึกทรมาน
หลินหมิงกัดฟันแน่นทนรับความเจ็บปวดจากสมุนไพร เขาดึงผ้าออกมาพันหมัดของเขา
มีสนุมไพรมากมายที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและส่งผลให้เจ็ดปวดเหมือนหญ้ากระทู้เหล็ก แต่สมุนไพรเหล่านนั้นก็มีราคาค่อนข้างแพง ด้วยฐานะของตระกูลที่ไม่ได้รํ่ารวยของหลินหมิงจึงไม่สามารถที่จะหาซื้อมันมาใช้ได้
พ่อแม่ของหลินหมิงเป็นเพียงลูกจ้างในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้ว่าตระกูลหลินจะเป็นตระกูลที่ใหญ่มาก แต่ครอบครับของหลินหมิงก็เป็นเพียงตระกูลสาขา พวกเขาเป็นเพียงลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ของตระกูลหลัก และเงินค่าจ้าที่พวกเขาได้รับก็ไม่มากพอที่ส่งเสริมการฝึกฝนของหลินหมิง
พ่อแม่ของหลินหมิงอยากให้หลินหมิงมาทำงานร่วมกับครอบครัว แต่เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ของหลิมหมิงแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจจะนำเงินเก็บของครอบครัวมาส่งเสริมหลินหมิง เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนของหลินหมิง ตั้งแต่นั้นมาหลินหมิงก็ใช้เงินในส่วนนี้อย่างประหยัดและรอบคอบมาโดยตลอด และเขาก็มีการฝึกฝนเพียงขั้นแรกเท่านั้น
การฝึกฝนนั้นมีทั้งหมด6ขั้น ขั้นสุดท้ายคือขั้นผสานชีพจร และเมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ก็จะมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปยังระดับปราณฟ้าได้ ซึ่งก็แบ่งเป็นปราณฟ้าขั้นต้น กับปราณปลายฟ้า
หลังจากใช้หญ้ากระทู้เหล็กและทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง บาดแผลของเขาก็สมานตัว เขาตั้งใจที่จะฝึกฝนการต่อสู้ของเขาต่อ แต่จู้ๆก็มีเจ้าอ้วยคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “พี่ชาย วันนี้เป็นวันที่สำนักเจ็ดแก่นแท้เปิดรับศิษย์ เหตุใดพี่ยังฝึกฝนอยู่อีกเล่า พี่ควรไปร่วมการทดสอบมิใช่หรือ? ”
ชื่อของเจ้าอ้วนคือคนนี้คือหลินเซี่ยวตง เขามีอายุน้อยกว่าหลินหมิงเล็กน้อย พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกัน
หลินเซี่ยวตงเป็นทายาทที่แท้จริง เขาเป็นคนตระกูลหลัก อย่างไรก็ตามในตระกูลหลักก็มีการจัดอันดับความสำคัญอยู่ เขาเป็นผู้ที่อยู่ในอันดับตํ่าสุด
หลังจากหันกลับไปเห็นหลินเซี่ยวตง หลินหมิงก็หันกลับไปยังต้นไม้และกล่าว “ช่วงแรกจะมีคนเข้าไปลงชื่อจำนวนมาก ข้าไม่อยากเสียเวลาในการฝึกฝนของข้าไป ”
“ให้ตายเถอะ ! “หลินเซี่ยวตงพูดออกเมื่อเห็นรอบยุบของเปลือกไม้และรอยเลือกของหลินหมิง “พี่บ้าไปแล้วรึ หากพี่ยังฝึกฝนอย่างหักโหมเช่นนี้ พี่จะต้องพอการในที่สุด หญ้ากระทู้เหล็กไม่เพียงพอที่จะรักษาแผลของพี่ได้ ”
หลินหมิงไม่ได้พูดอะไร เดิมทีการที่ผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสามจะฝึกฝนให้สำเร็จขั้นผสานชีพจรก็ถือว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่เขาก็ยังมีความหวัง แม้มันจะมีโอกาสที่จะทำให้เขาต้องพิการจากการฝึกฝนไปตลิดชีวิตก็ตาม
สำหรับหลินหมิงนี่คือการต่อสู้ที่เดินพันด้วยชีวิตของเขา
หลินเซี่ยวตงถอนหายใจและดึงบางอย่างออกมาจากช่องในกระเป๋าพร้อมกับยื่นให้หลินหมิง “พี่ชายใช้นี่เถอะ.”
หลินหมิงหันมามอง และก็ต้องตกใจ มันคือโสมสีเลือดอายุร้มปี มันเป็นยาระดับสูงสามารถใช้สมานแผลและบำรุงร่างกายได้ มันมีความอ่อนโยนมาก ไม่ทำให้ทรมานเหมือนกับหญ้ากระทู้เหล็ก มันมีราคาประมาณ150เหรียญทอง เทียบได้รับรายได้ตลอดทั้งปีของพ่อและแม่ของเขารวมกัน
เขาส่ายหัว “ข้ารับโสมเลือดนี้ไว้ไม่ได้”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง แต่ของสิ่งนี้ก็มีราคาสูงเกินไป ครอบครัวของหลินเซี่ยวตงมั่งคั่งกว่าหลินหมิงมาก แต่หลินเซี่ยวก็ก็ไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนการต่อสู้มากซักเท่าไร
หลินเซี่ยวตงพยายามยัดโสมเลือดให้กับหลินหมิงและกล่าว “ข้าซื้อโสมเลือดนี้มาให้พี่ ถ้าพี่ปฏิเสธมันก็เท่ากับปฏิเสธความเป็นพี่น้องของเรา ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากนัก แค่ข้ายังเป็นคนตระกูลหลักก็มากพอสำหรับข้าแล้ว ”
หลินหมิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะรับโสมเลือดเอาไว้ “ขอบคุณอย่างมาก ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าเลย ข้าจะต้องฝึกฝนให้ถึงขั้นที่หกให้ได้ เพื่อไม่ใช้ความช่วยเหลือของเจ้าสูญเปล่า ”
“ฮ่าๆ เมื่อถึงวันนั้น พี่ต้องจัดการไอ้ลูกหมาจู้ยันให้ข้าด้วยล่ะ ตระกูลของมันข่มเหงตระกูลของเรามานานแล้ว! ”
จู้ยัน… หลินหมิงถอนหายใจเบาๆ จู้ยันเป็นศิษย์ในสำนักเจ็ดแก่นแท้ และเขายังอยู่ในนิกายสวรรค์ เขาฝึกฝนไปจนถึงจุดสูงสุดของขั้นที่สามแล้ว จู้ยันคือเป้าหมายสูงสุดที่เขาหวังจะก้าวข้ามให้ได้ในซักวันหนึ่ง
พื้นที่ของสำนักเจ็ดแก่นแท้ในกว้างใหญ่ไพศาล หลินหมิงและหลินเซี่ยวตงมาถึงสำนักแห่งนี้ในช่วงปลายของการสมัคร ผู้สมัครเรียงเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ
“เราคงต้องรออีกนาน” หลินเซี่ยวตงถอนหายใจ
“ก็คงเป็นเช่นนั้น” หลินหมิงพยักหน้า
“เฮ้ดูตรงนั้นสิ” หลินเซี่ยวตงชี้ไปทางประตูเล็กๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่บริเวณนั้น
“เฉพาะตระกูลขุนนาง… ” หลินหมิงสังเกตป้ายที่เขียนกำกับไว้
“บ้าเอ้ย!” หลินเซี่ยวตง พึมพำด้วยความไม่พอใจ พวกขุนนางช่างเอาเปรียบคนธรรมดาเสียจริง
ในขณะที่หลินเซี่ยวตงกำลังสาปแช่งพวกขุนนาง จู่ๆประตูนั้นก็เปิดออก ชายหนุ่มสองคนก้าวออกมา คนหนึ่งในนั้นสวมชุดสีฟ้า มีดาบยาวที่แนบที่เอว บุคลิกดูสง่างาม
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของชายคนนี้ หลินหมิงขมวดคิ้วในทันนี้ เขาคือจู้ยัน
หญิงสาวในตระกูลจู้ได้แต่งานเข้าไปในราชวงศ์ เป็นนางสนมและได้ให้กำเนิดองค์ชายขึ้นมา ทำให้ตระกูลจู้กลายเป็นตระกูลที่มีชื่อเป็นเป็นอับดับหนึ่งในเมืองใบหม่อนสีเขียว ด้วยฐานะของพวกเขา มันมากพอที่จะให้สิทธ์ในการเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้โดยไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบ และพวกเขาก็ได้มอบศิษย์นี้ให้กับหลานยุนเยีย
“จู้ยัน? มันเป็นคนที่น่ารังเกียจ” หลินเซี่ยวตงพึมพำ
จู้ยันกำลังเดินนำชายหนุ่มอีกคนอยู่ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นลูกน้องของเขา ด้วยทิศทางที่พวกเขาก้าวเดิน ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองไม่เห็นหลินหมิง
แต่หลินหมิงก็ไม่คิดที่จะหนี เขากลับยืนอยู่อย่างสงบขณะที่จู้ยันเดินเข้ามาใกล้
จู้ยันหยุดเดิน สายตาจับจ้องไปยังหลินหมิงและหลินเซี่ยวตง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้เห็นหลินหมิงทำให้เขารู้สึกอึดอัด แม้ว่าเขาจะได้หลานยุนเยี่ยไปแล้ว แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะใกล้ชิดกับเขาก่อนที่จะแต่งงาน เห็นได้ชัดว่าหลินหมิงยังกุมหัวใจของเธอเอาไว้อยู่ เหตุผลที่เธอยอมรับการแต่งงานจากจู้ยันเป็นเพราะสำนักเจ็ดแก่นแท้ จู้ยันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หัวใจของภรรยาในอนาคตของเขาไปอยู่กับคนอื่น
“เจ้าคือหลินหมิงสินะ? มีเพียงการฝึกฝนในขั้นแรกริอาจจะทดสอบเข้าสำนักเจ็ดแก่นแท้งั้นรึ? ”
คำพูดของจู้ยันให้ความหมายอย่างชัดเจน เขาไม่ต้องการให้หลินหมิงได้อยู่ในสำนักแห่งนี้ มันจะทำให้หลานยุนเยียลืมหนิมหมิงไม่ได้
“ข้ามาที่นี่เพราะต้องการแสวงหาวิถีแห่งการต่อสู้? มันไม่ได้เกียวข้องอะไรกับเจ้า”
“วิถีแห่งการต่อสู้? อวดดีเหลือเกิน” จู้ยันหยิบดาบที่พาดเอาไว้ที่เอวขึ้นมา เขาใช้มันฟาดไปในอากาศ คลื่นพลังที่มองไม่เห็นพุ่งไปกระแทกกับต้นไม่ที่อยู่ห่างออกไป
“ปึง” กิ่งและใบ้ไม้มากมายล่วงลงมาสู่พื้พร้อมกับรอยแตกขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนลำต้น
เหตุผลที่จู้ยันทำเช่นนี้ก็เพื่อข่มหลินหมิง เขาต้องการที่จะแสดงความห่างชั้นระหว่างตัวเขาเองกับหลินหมิง “ข้ามีพรสวรรค์ระดับสี่ เริ่มฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่อายุสิบสอง ใช้สมุนไพรราคาแพงอีกมากมายที่คนอย่างเจ้าไม่อาจจะหามันมาได้ และในตอนนี้ข้าก็ได้เข้าร่วมกับนิกายสวรรค์ คนที่อ่อนแอเช่นเจ้ายังกล้าพูดถึงวิถีแห่งการต่อสู้อีกรึ ?”
จู้ยันพูดอย่างเย้อหยิ่งทำให้หลินเซี่ยวตงโมโหขึ้นมา “เจ้าแค่อายุมากกว่าข้า2ปี ถ้าข้าอายุเท่ากับเจ้า ข้าคงจะถีบหัวเจ้าไปแล้ว! ”
จู้ยันขมวดคิ้วและหันไปยังหลินเซี่ยวตง “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้า… ” ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลที่ถูกส่งออกมาจากจู้ยัน ทำให้หลินเซี่ยวตกได้แต่กลืนนํ้าลาย “ข้าคือหลินเซี่ยวตง เจ้าจงดีจำเอาไว้ให้ดี!”
“หลินเซี่ยวตง ? คนตระกูลหลินมีคุณสมบัติที่จะพูดคุยกับข้าด้วยรึ? พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะสนทนากับข้า ไม่ว่าจะเจ้าหรือหลินหมิง! ถ้าไม่ใช่เพราะหลานยุยเยี่ย ข้าก็คงไม่ต้องมารู้จักสวะอย่างพวกแกหรอก! และต่อจากนี้หลายยุนเยี่ยไม่ใช่ใครที่พวกเจ้าจะแตะต้องได้อีกต่อไป ”
“ข้าจะให้เจ้าหนึ่งพันเหรียญทอง! และหวังว่าจากนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่เห็นหน้าพวกเจ้าอีก! “จู้ยันกล่าวในขณะที่เขาเอาถุบเหรียญทองออกมา
คนรอบๆต่างตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน หนึ่งพันเหรียญทอง?! มันมากพอที่จะใช้ในการสนับสนุนการฝึกฝนด้วยสมุนไพรระดับสูงได้นานถึง3ปี
“หนึ่งพันเหรียญทอง? เอาไปให้ขอทานเถอะ ! “หลินเซี่ยวตงผลักมันกลับไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นก้อนเงินที่มีมูลค่ามาก
จู้ยันสะบัดมือของหลินเซี่ยวตก และหันหน้าไปทางหลินหมิงเพื่อรอคำตอบ
หลินหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยโทนที่กล้าหาญและชัดถ้อยชัดคำ “การฝึกฝนการต่อสู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฐานะของตระกูลหรือพรสวรรค์อะไรทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญกับการฝึกฝนอย่างแท้จริงก็คือ… หัวใจที่มุ่งมั่นที่จะฝึกฝนการต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ! ”
“วิถีการต่อสู้ที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพสวรรค์ อำนาจ หรือเงินทอง ! ซักวันหนึ่งข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้! ” คำพูดของหลินหมิงมีความหมายลึกซึ้ง ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างก็ได้ยินถ้อยคำของเขาอย่างชัดเจน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 5 การเดิมพัน

บทที่ 2 ศิลาลึกลับ